<<>> 26 กรกฎาคม ถือเป็นวันประวัติศาสตร์ในวงการกีฬาไทย อีกวันหนึ่ง ย้อนกลับไปเมื่อ 53 ปีที่แล้ว ตำนาน “ศึกสายเลือด” นักมวยไทยชกกันเองในการชิงแชมป์โลกของประเทศไทย

 เมื่อปี พ.ศ. 2510 “ชาติชาย เชี่ยวน้อย” หรือ “นริศ เชี่ยวน้อย” แชมป์โลกรุ่นฟลายเวท สภามวยโลก พิกัดน้ำหนัก 112 ปอนด์ ต้องป้องกันตำแหน่งครั้งแรกกับนักชกชาวไทยด้วยกันคือ “พันธ์ทิพย์ แก้วสุริยะ” หลังจากชนะทีเคโอ วอลเตอร์ แม็กโกแวน นักชกอังกฤษ ในยกที่ 9

 

 เป็นศึกที่หลายคนยากจะทำใจ เพราะนอกจากทั้งคู่จะเป็นสายเลือดไทยด้วยกัน ทั้งยังเป็นเพื่อนสนิทชนิดกันนอนมาด้วยกันยาวนาน แต่วิถีทาง “มวย” จึงมิอาจหลีกเลี่ยง

 ศึกสายเลือดจึงกำเนิดขึ้นในวันนั้นที่ อินดอร์สเตเดียม หัวหมาก 

 

ชาติชาย เชี่ยวน้อย (ซ้าย) และ พันธ์ทิพย์ แก้วสุริยะ (ขวา)

 

 ก่อนการชก “ชาติชาย เชี่ยวน้อย” คือยอดมวยสากลอาชีพ แชมป์โลกคนที่ 2 ในประวัติศาสตร์ไทย ถัดจาก “โผน กิ่งเพชร” ขณะที่ “พันธ์ทิพย์ แก้วสุริยะ” นักชกมวยไทยที่ผ่านศึกมานับร้อยไฟต์ ก่อนหันไปชกมวยสากลอาชีพและครองแชมป์รุ่นฟลายเวทของลุมพินี ฉายา “เสือหมัดซ้าย”

 ในสายตาคนทั่วไปถือเป็นมวยถูกคู่และสูสีเป็นอย่างยิ่ง แต่หลายคนก็หารู้ไม่ว่าทั้งคู่มีความสนิทสนมกันมากเพียงใด

  ค้นข้อมูล “พันธ์ทิพย์” เคยเล่าไว้ว่า เขารู้จัก “ชาติชาย” มานาน ตั้งแต่สมัยยังเรียนหนังสืออยู่ที่โรงเรียนผดุงศิษย์พิทยา แถวบางซื่อ ส่วนชาติชายเองก็ยังไม่ได้เป็นแชมป์โลก อายุชาติชายมากกว่า 7 เดือน

 “เราสนิทกันมาก เขานั่งแท็กซี่มาหาผมที่โรงเรียนเป็นประจำ วันหนึ่งก็คุยเรื่องมวย คิดว่ากันว่าตามวิถีมวยมันมีโอกาสต้องเจอกัน ชาติชายบอกผมว่า เราต้องไม่ชกกันนะ ผมก็รับปากเค้าไปว่า เราจะไม่ชกกันแน่นอน”

“พันธ์ทิพย์” ย้อนอดีตพร้อมย้ำถึงความสนิทว่าเป็นเพื่อนรัก เพื่อนกิน เพื่อนเที่ยว และคู่ซ้อม โดยมีช่วงหนึ่งที่ “ชาติชาย” เดินสายไปค้ากำปั้นที่ญี่ปุ่นนานนับปี “พันธุ์ทิพย์” เคยตามไปอยู่เป็นเพื่อนและเป็นคู่ซ้อมให้

 แต่เมื่อถึงเวลา ศึกที่มิอาจหลีกเลี่ยง ทั้งคู่ก็จำต้องชกกัน

 “ชาติชาย” ในฐานะแชมป์โลกหมาดๆ ถูกโปรโมเตอร์ระดับตำนาน “พญาอินทรี” เทียมบุญ อินทรบุตร ประกบให้ชกกับเพื่อนสนิท เพราะเชื่อว่ามีโอกาสชนะป้องกันแชมป์ได้อีกสมัย แต่หากแพ้ เข็มขัดแชมป์ก็ยังอยู่ในประเทศไทย

 

  “บรรยากาศในห้องพักก่อนการชกวันนั้น ผมเดินไปหาพันธุ์ทิพย์เพื่อขอจับมือเค้า และทักทายกันตามประสาเพื่อนสนิท พันธุ์ทิพย์ก็ทักทายตอบกลับมาเป็นปกติ แต่ผมสังเกตเห็นแววตาเค้าจ้องมองมาที่ตาผมเขม็ง ผมรู้เลยว่าเค้าเอาจริงแน่”

ถึงเวลาชก แฟนมวยแน่นอินดอร์สเตเดี้ยม หัวหมาก พระบาทสมเด็จพระมหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร รัชกาลที่ 9 เสด็จมาทอดพระเนตร กำหนดการชก 15 ยก หลายคนคิดทั้งคู่รู้ทางกันดี เกมคงยืดเยื้อ ดูกันยาวๆ แต่ผลจบเร็วเกินคาด 

 

                                        พันธ์ทิพย์ โดนหมัด ชาติชาย ลงไปนอนให้กรรมการนับ

 

 เพียงแค่ยกที่ 3 “ชาติชาย” ส่งหมัดขวาเข้าปลายคาง “พันธ์ทิพย์” ล้มลงทั้งยืน กรรมการนับถึง 6 พันธ์ทิพย์ ลุกขึ้นมาได้ แต่ก็เสียจังหวะเซไปอีก กรรมการจึงโบกมือยุติการชกไปในยกนี้เอง 

 ทันทีที่กรรมการหันมาชูมือให้ “ชาติชาย” น้ำตาของผู้ชนะพรั่งพรูไหลออกมาตลอดเวลา

 “หมัดนั้นผมต่อยเค้าเต็มที่ ผมเห็นเค้าร่วงคาตาเลย ผมก็เลยร้องไห้ มันออกมาจากข้างใน โอ้โห นี่ผมทำกับเพื่อนขนาดนี้เลยเหรอเนี้ย”

 ชาติชาย กล่าวหลังชกกับทางสื่อ และจากเรื่องราวและภาพที่ปรากฏบนเวที นับจากนั้น “ชาติชาย เชี่ยวน้อย” ก็ได้รับฉายา “แชมป์โลกเจ้าน้ำตา”

 

                                                         กรรมการชูมือในขณะที่ “ชาติชาย” ร่ำไห้

 

 เสร็จสิ้นการชก ความสัมพันธ์ของทั้งคู่ไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลง ยังกินเที่ยวและพูดคุยกันอย่างปกติเหมือนในอดีต 

 แต่ชีวิตของทั้งคู่แตกต่างกันไปคนละทาง “ชาติชาย” กลายเป็นแชมป์โลกรุ่นฟลายเวท 3 สมัยที่ยิ่งใหญ่ที่สุดคนหนึ่งของไทย ครองแชมป์ทั้งสถาบันสภามวยโลก สมาคมมวยโลก รวมถึง เดอะ ริง 

 ส่วน “พันธ์ทิพย์” หลังจากพ่ายแพ้ก็ยังสู้ต่อชกชนะอีก 3 ไฟต์รวด แต่ขาดทุนรอนและคู่ชกจึงประกาศแขวนนวมในวัย 26 จากนั้นเดินทางไปอเมริกา เป็นพ่อค้าขายไอศครีมหาทุนเรียนศึกษาต่อด้านคอมพิวเตอร์ ก่อนกลับมาทำงานอยู่ในองค์การโทรศัพท์แห่งประเทศไทย
 กระทั่งเกษียณอายุ และเปิดกิจการร้านขายเสื้อผ้ากีฬา ปัจจุบันอายุ 79 ปี มีความสุขอยู่กับภรรยาและลูก 3 คน ที่บ้านย่านบางกอกน้อย

 

พันธ์ทิพย์ กับรางวัลเกียรติยศ ในงานสยามกีฬาอวอร์ดส์ เมื่อปีที่แล้ว

 

 ส่วน “แชมป์โลกเจ้าน้ำตา” ชาติชาย เชี่ยวน้อย เสียชีวิตเมื่อ 2 ปีก่อน ด้วยโรคปอดติดเชื้อ ขณะวัย 76 ปี 
 ในพิธีศพ “พันธ์ทิพย์ แก้วสุริยะ” เดินทางไปร่ำลาอดีตคู่ปรับด้วยน้ำตาคลอเบ้า ณ วัดพระศรีมหาธาตุ บางเขน

  “เสียใจมากที่พี่นริศมาจากไป เมื่อก่อนเจอกันบ่อยมาก ช่วงหลังไม่ได้เจอมาหลายปีแล้ว รู้สึกอาลัยเป็นอย่างมากแม้ว่าจะเคยห้ำหั่นกันมาบนสังเวียนเลือด แต่ลงจากเวทีมาก็เป็นพี่น้องคบหากัน”

 และนี่คือสายสัมพันธ์ของนักชกคู่ปรับ ตำนาน “ศึกสายเลือด” คู่แรกของไทยที่น่าประทับใจจวบจนปัจจุบัน

บทความข่าวโดย ::

 



@ News  Photo Credit :: smmsport.com


เชิญแสดงความคิดเห็นอย่างสุภาพ

comments