บทที่ 2 : เส้นทางลูกผู้ชาย มวยเล่นของ สู่บัลลังก์แชมป์

 

เดชดำรงค์ บอกว่า หลังจากต่อยจนเริ่มมีชื่อเสียงในภาคใต้ ขณะนั้นใช้ ‘ดำรงค์ ปอปาหนัน’ สามารถชกกับคนนี้ได้ในน้ำหนักนี้ คนนี้ได้ แล้วจึงไปรอชั่งน้ำหนักเช้า-ชกค่ำไม่ต้องรอเปรียบมวยให้เสียเวลา

“เรื่องชื่อที่จริงชกครั้งแรกผมใช้ชื่อจริง ‘ธำรงค์’ นะ แต่คนเขียนชื่อเขียนผิด” เจ้าของฉายาไอ้ตาดุหัวเราะเบาๆ ครั้งแรกและว่า หลังจากต่อยหลายร้อยครั้งสร้างชื่อขึ้นมา จึงตัดสินใจมาต่อยมวยรอบที่กรุงเทพฯ ปรากฏว่าแพ้ ร่างกายบอบช้ำมาก และไปตั้งหลักที่บ้านก่อน รักษาแผลหายก็เข้ามา ก็ไม่ประสบความสำเร็จ เจ็บตัว

 

เวลาพ่ายแพ้ คุยอะไรกับตัวเอง – ผมสงสัย เขานิ่งไปก่อนจะบอกว่า บางครั้งท้อ แต่ก็กลับมาซ้อม และแก้ข้อผิดพลาดให้น้อยที่สุด

“มวยบ้านนอกกับมวยกรุงมันมีความแตกต่างกันมาก ทั้งการฟิตซ้อม การดูแล กลับไปเราก็ต้องปรับปรุงใหม่ ต่อมาก็เปลี่ยนค่ายอีก 2-3 ครั้ง จนกระทั่งมาเป็น ส.อำนวยโชค ตอนนั้นผมก็คิดนะว่า ชีวิตทำไมมันติดๆ ขัดๆ ลุ่มๆ ดอนๆ ไม่ดังซะที ก็มีคนทักว่าใช้ชื่อ ‘เดช’ ไว้หลังชื่อเราไม่ดี เพราะเป็นชื่อหัวหน้า จึงเปลี่ยนชื่อมาเป็น ‘เดชดำรงค์’ ชื่อที่ทำให้เขามีชื่อเสียงจนได้แชมป์มวยที่ลุมพินีตอนอายุ 22 ปี”

 

“แมตช์นั้นจำได้ดี ชนะแบบบอบช้ำมาก…” ซัดกับยอดแสนไกล เพชรยินดี รุ่นไลท์ฟลายเวท 105 ปอนด์ ได้นับยก 3 แต่ก็ถูกฟันศอกคิ้วแตก 3 แผลเลือดอาบ คิ้ว-หน้าผาก เย็บไป 31 เข็ม กระทั่งที่สุดก็มาถึงแมตช์ล้างตา และมาเสียแชมป์ให้ยอดแสนไกล จากนั้นก็มีโอกาสได้ชิงแชมป์อีกครั้งรุ่น 105 ปอนด์ จาก ‘จอมยุทธ พิทักษ์ครูชายแดน’ เป็นสมัยที่ 2  

 

 

 

บทที่ 3 : ชีวิตตกต่ำ เปลี่ยนผ่านไปตามชะตา ตัดตรวนปลดปล่อยวิญญาณ

 

ชีวิตเดชดำรงค์เดินต่อต่อยมาเรื่อยจนอายุ 27-28 ปีเริ่มโรย ค่าตัว 8 หมื่น ลดเหลือ 3 หมื่น คล้ายจะเป็นช่วงสุดท้ายของชีวิต แต่ก็พลิกอีกครั้ง เพราะมีคนชวนไปต่อยมวยที่ญี่ปุ่นปี 2007 เขาเอาเสื้อผ้าไปชุดเดียว ชกเสร็จคิดว่าจะกลับบ้าน แต่ปรากฏว่าที่นั่นอยากมีครูมวยเป็นคนไทย เลยมีโอกาสไป 

ชีวิตที่ญี่ปุ่นสบาย ไม่ออกไปไหน 3 เดือนแรก เพราะอุปสรรคเรื่องภาษา ต้องดิ้นรนเรียนรู้ให้มาก บางครั้งอยากโทรกลับไปหาพ่อแม่ลูกเมีย ก็ไม่รู้จะโทรยังไง 

 

“ผมทำงานอยู่ช่วงหนึ่ง คุณพ่อก็ป่วย และโดนคดี กำลังจะขึ้นชกที่ญี่ปุ่น คุณแม่โทรมาบอกว่ารีบกลับมา พ่อป่วย ต้องออกมาจากเรือนจำและมีโซ่ตรวนติดขาตลอด หลายครั้งที่เราคุยเขาน้ำตาไหล แกรับรู้ แต่พูดไม่ได้ เป็นช่วงเวลาที่เจ็บปวดมากๆ อยากจะเจ็บแทนเขา แต่ทำอะไรไม่ได้”

 

15 วันคุยนั่งจับมือให้แกสู้ คุยให้กำลังใจแบบนั้น 3 เดือนไม่ได้ทำอะไร ช่วงสุดท้ายอาการไม่ดีทุรนทุราย จึงตัดสินใจไปที่เรือนจำขอตัดตรวนออก เพราะคิดว่าถ้าไม่มีตัวนี้พ่อคงไปสบาย ซึ่งแล้วแต่ดุลพินิจเจ้าหน้าที่นะ แต่ไม่ว่าจะเป็นยังไง เราซื้อใบเลื่อยไว้แล้ว ถ้าไม่ตัดก็จะปล่อยพ่อเอง แต่โชคดีที่เรือนจำอนุญาต พอไขกุญแจเสร็จอยู่ได้แค่ 10 นาทีก็เสียชีวิต

 

“ก่อนพ่อตาย ผมบอกกับแกว่า หลับให้สบาย ทางนี้ผมดูแลทุกคนเอง ไม่ต้องห่วงอะไร” เป็นคำสัญญาลูกผู้ชาย 

 
 

 

 

‘ร้ายสุด’ – ‘ดีสุด’ MMA วิกฤติสร้างฮีโร่คนไทย

 

ท้อแท้นะ! เขาเปรยแต่ทรุดไม่ได้ เพราะเป็นเสาหลัก ทว่า ‘โชคดี’ ท่ามกลาง ‘โชคร้าย’ ขณะจะไปต่อญี่ปุ่น เพื่อนโทรมาชวนไปอยู่ ‘อีโวฟยิม’ ที่นี่ทำให้เขารู้จัก MMA
(Mixed Martial Arts – ศิลปะการต่อสู้แบบผสมผสาน) อยู่ที่นี่ได้ 6-7 เดือน เพื่อนชาวบราซิลที่ชก MMA เราสังเกตการซ้อมและลองเรียนรู้ พอร่างกายดีเลยขอพี่ชาตรีขึ้นชก

ครั้งแรกกับ MMA ชาตรีใช้ศาสตร์มวยไทยเป็นหลัก พบกับนักมวยสไตล์ ‘Boxing’ จากฟิลิปปินส์ ซึ่งเขาต้องการจะ ‘Take Down’ ให้เขาอยู่ข้างล่าง แต่ชั้นเชิงมวยไทยของเราดีกว่ามาก ทำให้ชนะน็อกไปในยกแรก

 

แมตช์ที่ 2 ไปชกที่ดูไบ พบกับนักชกชาวมาเลย์ ตามคาด แต่ครั้งนี้เขาเอาชนะด้วยการใช้ท่า Suspension หรือ ‘ล็อกคอ’ แบบที่เรียนมา ทำให้คนทั่วโลกฮือฮา เพราะประจักษ์ว่านักมวยไทยคนนี้ไม่ได้มีดีแค่ศาสตร์มวยไทย

แมตช์ที่ 3 ไปชกที่มาเลเซีย ชกกับเจ้าถิ่น และเขาก็ชนะคู่ชกด้วยลูกที่ล็อกแขน โดยใช้ขาหนีบแล้วก็ดึง Suspensions มาใช้อีก ต่างกันตรงที่เขาเป็นนักมวยไทย แต่ทว่าสามารถเอาเทคนิคของศาสตร์แขนงอื่นๆ มาใช้ จึงกลายเป็นจุดเด่น และคนทั่วโลกชมชอบเชียร์และชื่นชม 

 

ครั้งที่ 4 ชกที่ฟิลิปปินส์ ในวันที่ 5 ธันวาคม วันพ่อ แล้วก็ชนะตามคาดด้วยแม่ไม้มวยไทยในยกแรก ซึ่งครั้งนี้สร้างความตื่นตะลึง นอกจากเป็นคนไทยคนเดียวในรายการให้คนทั่วโลกทึ่ง ด้วยการทำในสิ่งที่ตั้งใจ ชู ‘พระบรมฉายาลักษณ์ของพระเจ้าอยู่หัว’ (และธงชาติ) ที่นำติดตัวไปด้วยทุกครั้ง ชูเหนือศีรษะ พร้อมกับก้มกราบ พ่อในวันพ่อ 

‘ชาวต่างชาติฮือฮากันใหญ่ เขาไม่รู้ว่าทำไมผมต้องนั่งกราบ เพราะเราคนไทยถือว่านี่คือพ่อหลวงของเรา ผมทำไปร้องไห้ไป คิดถึงในหลวง คิดถึงพ่อ’

 

ด้วยฝีมือ และภาพเหล่านี้ กลายเป็นภาพการจดจำของคนทั่วโลก และกลายเป็นคนมีชื่อเสียงในพริบตา หลังจากนั้นจึงมาชกชิงแชมป์ โดยมีรุ่นสตรอว์เวทขึ้นมาใหม่ หรือรุ่น 52 กิโลกรัม ชิงแชมป์ที่ประเทศสิงคโปร์ ครั้งนั้นเขาชกกับนักชกชาวฟิลิปปินส์ที่ถนัดบ็อกซิ่ง พยายามเทคดาวน์เดชดำรงค์เพื่อให้อยู่ด้านล่าง แต่ทว่าฮีโร่ชาวไทยได้เรียนลูกแก้มา แม้แมตช์นั้นเดชดำรงค์จะแตกในยก 5 แต่ก็สามารถคว้าแชมป์ในรุ่นนี้มาได้ในที่สุด

 

 

 

 

ศาสตร์ที่น่ากลัวที่สุดใน MMA

 

ในฐานะที่เป็นครูมวย เป็นนักมวย และแข่ง MMA ด้วย คิดว่าศาสตร์ไหนน่ากลัวที่สุด – เขาตอบผมแบบไม่ต้องคิดว่า แม่ไม้มวยไทยสามารถชนะได้หมด เพราะทั้ง หมัด เท้า เข่า ศอก ที่เป็นอาวุธหนัก อย่างไรก็ดีสิ่งที่ต้องเรียนรู้ก็คือเรื่องการปล้ำ เวลาล้มลงด้านล่างทำอย่างไรให้ลุกขึ้นมาสู้ให้ได้ ..

“MMA ไม่ใช่มวยมั่ว ครั้งแรกผมซ้อมก็แอบคิดแบบนั้นว่า ทำไมเขาชกกันอย่างนี้ ยังอคติเป็นมวยวัดหรือเปล่า แต่เมื่อเราศึกษาศาสตร์ของเขา เป็นศาสตร์ที่ว่าด้วยการลงล่างหรือนอนเพื่อจับล็อกคอล็อกแขน เขามีกฎเหมือนกับกีฬามวยไทยเช่นกัน”

 

เมื่อถามว่าแมตช์ที่จะถึงนี้ต่อยที่ประเทศไทยแผ่นดินพ่อ-แม่กดดันไหม? เดชดำรงค์ย้ำสีหน้ามุ่งมั่นว่า ไม่กดดัน และสัญญาว่าจะทำหน้าที่ของเราให้ดีที่สุด

“ถามว่าวันแรกชกเพื่อตัวเอง ต่อมาชกเพื่อครอบครัว ครั้งนี้ชกเพื่อใคร ผมชกเพื่อป้องกันแชมป์ และชกเพื่อทุกคนครับ เพราะตอนนี้เหมือนกับผมเป็นตัวแทนของคนไทยคนแรก ผมจะใช้ความรู้ การฝึกฝน พยายามทำให้ดีที่สุด เพราะรู้ว่าทุกคนในประเทศให้กำลังใจผมอยู่ ผมจะต้องผ่านและรักษาแชมป์ให้นานที่สุดเท่าที่จะทำได้ แล้วผมจะเอาพระบรมฉายาลักษณ์ และธงชาติไทย ของพ่อจะอยู่บนหัวของผมอีกครั้งในแผ่นดินไทยผมสัญญา” 

 

สุดท้ายไม่ว่าแพ้หรือชนะในแมตช์ที่ชกในประเทศไทย ผมสงสัยว่า เดชดำรงค์เขาอยากให้คนไทยจดจำเขาในรูปแบบไหน ผมเป็นนักมวยไทย ก็อยากให้จดจำเรื่องความพยายาม สู้ อย่าท้อทุกอย่าง สักวันต้องเป็นวันของเรา

และทั้งหมดนี้คือเรื่องราวของ แชมป์โลกรุ่นสตรอว์เวท มวย MMA ของ ONE Championship คนไทยคนแรกและคนเดียวที่ทั่วโลกให้การยอมรับ แต่น่าแปลกที่คนไทยไม่รู้จัก เรื่องราวที่ต้องการกำลังใจ.

 

 

 

 

 

@ credit news –image ::  www.thairath.co.th

เชิญแสดงความคิดเห็นอย่างสุภาพ

comments