<<>> ใครจะไปเชื่อในดินแดนที่บ้าคลั่งฟุตบอลอย่างเมือง แมนเชสเตอร์ จะมีคนแหกคอกมาเดินบนเส้นทางการค้ากำปั้น แถมต้องต่อสู้กับมรสุมชีวิตตั้งแต่วินาทีแรกลืมตาดูโลกจนถึงปัจจุบัน  

    ย้อนไปในปี 1988 ครอบครัวนึงใน ไวเทนชอว์ ทางใต้ของเมือง แมนเชสเตอร์ ได้ให้กำเนิดเด็กชายตัวน้อยที่มีน้ำหนักเพียงแค่ 1 ปอนด์เท่านั้น ซึ่งเป็นการคลอดก่อนกำหนดถึง 3 เดือน โดยพ่อของเด็กน้อยคนนี้ได้ตั้งชื่อว่า “ไทสัน ฟิวรี่” ตามแชมป์โลกผู้ยิ่งใหญ่อย่าง “ไมค์ ไทสัน” 

 

    

เวลาผ่านไป 27 ปี เด็กน้อยที่มีน้ำหนักเพียงแค่ 1 ปอนด์ ก็กลายเป็นแชมป์โลกรุ่นยักษ์ที่ยิ่งใหญ่เหมือนดั่งชายผู้ที่อยู่ในชื่อของเขา อย่างไรก็ตามในปี 1988 ปีที่ ไทสัน ฟิวรี่ ถือกำเนิดถือว่าเป็นปีทองของ ไมค์ ไทสัน หลังจากที่ “มฤตยูดำ” เก็บชัยได้ 3 ไฟต์รวดและเป็นการชนะน็อกทั้งหมด แถมในขณะนั้นทาง ไมค์ ไทสัน ยังครองเข็มขัดแชมป์โลกได้ถึง 3 เส้น (WBA,IBF,WBC) อีกด้วย

    ทุกอย่างย่อมมีเหตุผลในตัวของมันชื่อของ ฟิวรี่ เองก็มีที่มาเช่นเดียวกัน โดย จอห์น ฟิวรี่ เคยได้เผยว่า ” หมอบอกว่าโอกาสที่เขาจะรอดมีไม่มากนัก ผมต้องสูญเสียลูกสาวสองคนในการคลอดก่อนกำหนดแบบนี้ ” พ่อบังเกิดเกล้าของเขากล่าว ” พวกเขาบอกกับผมว่าแทบจะหมดหวังแล้ว แต่นั้นมันปี 1988 ไมค์ ไทสัน ยิ่งใหญ่มากในฐานะแชมป์โลกรุ่นเฮฟวี่เวต ดังนั้นผมจึงพูดว่า ‘เรียกเขาว่าไทสันเถอะ…’ จากนั้นพวกหมอมองมาที่ผมแล้วก็ยิ้ม”

 

   ผู้คนส่วนใหญ่ใน เกรทเตอร์ แมนเชสเตอร์ บ้านเกิดของ ฟิวรี่ ล้วนแต่บ้าคลั่งในกีฬาอย่างฟุตบอล ซึ่งมีสโมสรที่มีชื่อเสียงหลายทีมไม่ว่าจะเป็น แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด, แมนเชสเตอร์ ซิตี้, โบลตัน วันเดอร์เรอร์ส และ วีแกน แอธเลติก ด้านนักเตะเองก็มีไม่น้อยเช่นกันไล่ไปตั้งแต่ สองพี่น้องเนวิลล์, พอล สโคลส์, นิคกี้ บัตต์, เวส บราวน์, ฟิล จากีลก้า และ มาร์คัส แรชฟอร์ด ทว่าครอบครัวของ ฟิวรี่ ไม่ใช่หนึ่งในนั้น พวกเขาชื่นชอบในกีฬามวยมากกว่าฟุตบอล      

 

www.thairath.co.th

 

    ไทสัน ฟิวรี่ เดินเข้าสู่เส้นทางนักมวยตั้งแต่ 10 ขวบ และปีถัดมาเขาก็ตัดสินใจออกจากโรงเรียนเพื่อเดินตามรอย พ่อ และพี่ชายอีก 3 คน บนเส้นทางของนักมวย โดยมีพ่อของเขาอย่างจอห์นเป็นเทรเนอร์อยู่ข้างกาย 

 

    เขาเป็นอีกคนที่เริ่มต้นเส้นทางด้วยการชกมวยสากลสมัครเล่น แถมฝีมือไม่ธรรดาหลังจากไปกวาดเหรียญมาหลายทัวร์นาเมนมาแล้ว ฟิวรี่ เปลี่ยนมาชกในรูปแบบมวยสากลอาชีพในปี 2008 จากนั้นเขาตะบันไล่เก็บคู่ชกแบบไม่ครบยกได้ถึง 12 ไฟต์ติดต่อกัน ก่อนจะมาต้อนแต้ม เดเร็ค ชิโซร่า นักชกเพื่อนร่วมชาติในไฟต์ที่ 13 ของเขา “ยิปซีคิง” ยังคงทำผลงานบนสังเวียนได้อย่างยอดเยี่ยมหลังเก็บชัยได้ 7 ไฟต์รวด โดยเป็นการชนะน็อกได้ถึง 6 ครั้ง 

 

 ไฟต์ถัดมาของ ฟิวรี่ เป็นการทำศึกรีแมตช์ของเขากับทาง เดเร็ค ชิโซร่า คู่ชกที่เขาเคยเอาชนะมาแล้ว โดยครั้งนี้มีเข็มขัด (WBO) อินเตอร์แนชชั่นนอล รุ่น เฮฟวี่เวต เป็นเดิมพัน ไฟต์นี้ยังคงเป็น “ยิปซีคิง” ที่ดุดันกว่าไล่ต้อนนักชกเพื่อนร่วมชาติและยอมแพ้ไปหลังจบยกที่ 10 จากนั้นทาง ฟิวรี่ ทำการป้องกันตำแหน่งแชมป์เงาได้สำเร็จหลังจากเอาชนะ คริสเตียน แฮมเมอร์ ไปได้

 

    ในที่สุด “ยิปซีคิง” ก็ได้โอกาสได้ขึ้นชิงตำแหน่งแชมป์โลกเสียที โดยคู่ชกของเขาคือ วลาดิเมียร์ คลิทช์โก้ เจ้าของเข็มขัดแชมป์ รุ่น เฮฟวี่เวท 3 สถาบัน (WBA,IBF,WBO) ชาวยูเครน ซึ่งก่อนชกทาง ฟิวรี่ เป็นรองกว่าเยอะ โดยทาง วิลเลี่ยม ฮิลล์ บริษัทรับพนันถูกกฎหมายของอังกฤษ เปิดอัตราต่อรองให้ทาง ฟิวรี่ เป็นรอง 7-2 (แทง 2 จ่าย 7 ไม่รวมทุน) เรื่องชื่อชั้นคงไม่ต้องพูดเพราะ คลิทช์โก้ ถือว่ายอดมวยแถวหน้าของโลกในตอนนั้น 

 

  

 ด้านประสบการณ์เองก็ห่างใกลกันเหลือเกินทาง คลิทช์โก้ ผ่านศึกมามากมายถึง 67 ครั้ง ชนะ 64 แพ้ 3 และชนะน็อกได้ถึง 53 ครั้ง ส่วน ฟิวรี่ ชกมาแค่เพียง 24 ไฟต์เท่านั้น สิ่งที่ทาง “ยิปซีคิง” ได้เปรียบกำปั้นค้อนเหล็กก็คงมีแค่อายุเท่านั้น ซึ่งทั้งคู่ห่างกันถึง 1 รอบ 12 ปีกันเลยทีเดียว โดยในตอนนั้นทาง คลิทช์โก้ มีอายุ 39 ปี ขณะที่ทาง ฟิวรี่ มีอายุ 27 เท่านั้น

    การชกในไฟต์นั้นถูกจัดขึ้นที่สังเวียน เอสปริท อารีน่า, ดุสเซลดอร์ฟ, เยอรมนี ในปี 2015 โดยได้ ไมเคิ่ล บัฟเฟอร์ ได้รับหน้าที่เป็นโฆษกในสังเวียน แถมมีกรรมการชื่อดังอย่าง โทนี่ วีกส์ เป็นผู้ตัดสินบนเวทีอีกด้วย เกมในคืนวันนั้นทาง ฟิวรี่ ชกในรูปแบบตั้งรับ กำปั้นชาวอังกฤษออกหมัดซ้ายหน้าได้ดีมากแทบจะไม่พลาดเป้าเลย จนสามารถเรียกเลือดจากทาง คลิทช์โก้ ได้ โดยแผลแรกที่บริเวณโหนกแก้มซ้าย ส่วนแผลสองที่ตรงหางคิ้วขวา แม้ว่า ยอดมวยชาวยูเครนจะพยายามเดินบี้แต่ก็ไม่ค่อยทำได้ถนัดสักเท่าไหร่ แถมโดน ฟิวรี่ ยั่วให้เสียสมาธิอยู่หลายครั้ง 

 

    เกมก็ดำเนินไปเรื่อยๆ จนกระทั้งถึงยกที่ 11 โทนี่ วีกส์ กรรมการบนเวทีในวันนั้นสั่งตัดแต้ม ฟิวรี่ จากกรณีที่เขาทุบท้ายทอย คลิทช์โก้ โดยการกระทำแบบนี้เกิดขึ้นหลายครั้งตลอดการชก ฟิวรี่ มักพยายามตอดเล็กตอดน้อยทุกครั้งที่กอดกัน ทว่าก็ไม่เพียงพอให้สถานการณ์ในการชกครั้งนี้เปลี่ยนแปลงไปครบ 12 ยก ฟิวรี่ เอาชนะคะแนน คลิทช์โก้ ไปแบบเอกฉันท์ คว้าเข็มขัดแชมโลก รุ่น เฮฟวี่เวท 3 สถาบัน (WBA,IBF,WBO) มาครองจนได้ หลังจบศึกในครั้งนั้นทาง ฟิวรี่ กระโดดเลื่อชั้นตัวเองเป็นยอดมวยแถวหน้าทันที แถมปีนั้นเขายังคว้ารางวัล นักมวยยอดเยี่ยมแห่งปี ของ เดอะริง ได้อีกด้วย

 

 เหมือนทุกอย่างกำลังไปได้สวยบนเส้นทางสังเวียนของเขา ทว่าอยู่ดีๆทุกอย่างก็พังทลายด้วยหมูป่าเพียงแค่ตัวเดียว ย้อนไปในเดือนมิถุนายน ปี 2016 องค์กรต่อต้านการใช้สารต้องห้ามในกีฬาของสหราชอาณาจักร (UKAD) ได้ออกมาเผยผลตรวจของ ฟิวรี่ และฮิวอี้ลูกพี่ลูกน้องของเขา ว่าเป็นบวกซึ่งเชื่อว่าเป็นสารต้องห้ามในกลุ่ม อนาบอลิก สเตียรอยด์ แนนโดรโลน โดยทั้งคู่ถูกตั้งข้อหาโดย (UKAD) พร้อมระงับใบอนุญาตชกมวยชั่วคราว โดยทาง ฟิวรี่ ได้ออกมาแก้ต่างว่า สเตียรอยด์ ที่ตรวจพบมาจากการกินหมูป่าไม่ใช่จากการใช้สารกระตุ้นแต่อย่างใด 

 

    

โดยทีมกฎหมายของ ฟิวรี่ ได้ยื่นอุทธรณ์ โดยให้เหตุผลว่า พวกเขากินหมูป่าที่ยังไม่ได้รับการตรวจสอบ ในนั้นมีสาร (แนนโดรโลน) ที่ทำหน้าคล้ายกับ (ฮอร์โมนเทสโทสเตอโรน) ซึ่งมีสูงตามธรรมชาตินั้นเป็นสาเหตุที่ไม่ผ่านการทดสอบ

    สองเดือนต่อมา ฟิวรี่ ได้สละตำแหน่งระดับโลก WBA, WBO และ IBO หลังจากถูกคณะกรรมการควบคุมการชกมวยของอังกฤษระงับใบอนุญาตของเขา พร้อมกับใช้ช่วงเวลานี้รักษาโรคซึมเศร้าที่กัดกินเขาอยู่ในตอนนั้น

 

    ช่วงนั้น ฟิวรี่ ต้องชวดเงินไปไม่ต่ำกว่า 5 ล้านปอนด์ในค่าตัวจากการชกมวยโดยไม่รวมกับรายได้อื่นๆที่เขาจะได้รับ แม้จะห่างหายจากเวทีมวยสากลไปทว่าเขาก็ยังอยู่โลกของการต่อสู้แต่เปลี่ยนไปขึ้นสังเวียนมวยปล้ำแทน ในศึก (WWE) ที่ประเทศซาอุดิอาระเบีย กับทาง บรอน สโตรว์แมน  

    ในเดือนตุลาคม ปี 2016 ฟิวรี่ ได้เผยกับทาง นิตยสารชื่อดังอย่าง โรลลิงสโตน ว่าเขาเสพโคเคนเพื่อต่อสู้กับภาวะซึมเศร้า ” ผมออกไปดื่มตั้งแต่วันจันทร์ถึงวันศุกร์ยาวไปวันอาทิตย์และก็เสพโคเคน ” ฟิวรี่ กล่าว ” ผมไม่สามารถจัดการกับมันได้และสิ่งเดียวที่ช่วยผมได้ก็คือเมื่อผมเมาจนหมดสติ “

 

    ได้มีการพูดคุยกันหลายครั้งเกี่ยวกับการหวนคืนสู่สังเวียนและได้ขอให้เจ้าหน้าที่ปล่อยเขาเป็นอิสระเพราะตนเองเป็น “ผู้บริสุทธิ์” 

    ฟิวรี่ ห่างหายจากสังเวียนไปกว่า 2 ปีครึ่ง โดยคู่ชกคนแรกหลังจากที่เขาคืนวงการก็คือ เซเฟอร์ เซเฟอร์รี่ นักมวยจาก แอลเบเนีย ไฟต์นี้ไม่ได้ยากเย็นอะไรเขาเอาชนะได้ในยกที่ 4 เพียงเท่านั้น จากนั้นก็กำชัยเหนือ ฟรานเชสโก้ เปียเนต้า กำปั้นจากเยอรมันในไฟต์ถัดมา

 

  

 หลังจากทำฟอร์มสวยๆมา 2 ไฟต์ในที่สุดเขาก็ได้โอกาสหวนคืนบัลลังก์แชมป์โลกอีกครั้ง ครั้งนี้ ฟิวรี่ โยกมาชิงตำแหน่งในสถาบันของ สภามวยโลก (WBC) ซึ่งเป็นเส้นเดียวที่เขายังไม่เคยครอบครองใน 4 สถาบันหลัก ของรุ่น เฮฟวี่เวต โดยคู่ชกของ “ยิปซีคิง” ก็คือ จอมน็อคเอาท์ “เดอะ บรอนซ์ บอมเบอร์” ดีออนเตย์ ไวล์เดอร์ กำปั้นชาวอเมริกัน 

 

    การชกครั้งนี้ ฟิวรี่ ทำแต้มออกนำไปก่อน แต่ดันมาโดนทีเด็ดของ ไวล์เดอร์ ร่วงไปให้กรรมการนับในยกที่ 9 และ 12 ผลการชกลงเอยด้วยการเสมอกันไป พร้อมกับหยุดสถิติชนะรวดของพวกเขาทั้งคู่ “ยิปซีคิง” ชวดการคว้าเข็มขัดไปอย่างน่า
เสียดาย 

 

    จากนั้นยอดมวยชาวอังกฤษทำฟอร์มใหม่เก็บชัยได้ 2 ไฟต์รวด ด้วยการเอาชนะ ทอม ชวาร์ซ และ อ็อตโต วอลลิน ก่อนจะได้โอกาสทำศึกรีแมตช์กับ ไวล์เดอร์ อีกครั้ง 

    ศึกครั้งนี้ ฟิวรี่ เป็นฝ่ายเดินลุยอัด ไวล์เดอร์ หล่นให้กรรมการนับตั้งแต่ยกที่ 3 จากนั้นแชมป์ชาวอเมริกันก็มีอาการแกว่งไปแกร่งมาและร่วงอีกครั้งในยกที่ 5 ก่อนจะปิดเกมได้ในยกที่ 7 ทำให้ ฟิวรี่ เอาชนะทีเคโอ ไวล์เดอร์ ได้ในยกที่ 7 คว้าแชมป์โลกรุ่นเฮฟวี่เวตของ สภามวยโลก และ เดอะริง ไปครองได้สำเร็จ

 

    ส่งผลให้แชมป์โลกทั้ง 4 สถาบันหลัก (WBA,WBC,WBO และ IBO) เคยผ่านมือ ฟิวรี่ มาหมดแล้ว นอกจากนี้ ฟิวรี่ ยังเป็นนักมวยชาวอังกฤษคนแรกในประวัติศาสตร์ที่คว้ารางวัล นักมวยยอดเยี่ยมแห่งปีของ เดอะริง ได้ 2ครั้ง (ปี2015 กับปี2020)      

 

 
@ News  Photo Credit :: siamsport
 
 
@ *คลิก* ติดตามต่อกับพันธมิตรข่าว เว็บboxingboy2021.blogspot.comได้เลยครับ

เชิญแสดงความคิดเห็นอย่างสุภาพ

comments