<<>> ความคืบหน้ากรณี “โค้ชเทวดา” ฮวน ฟอนตาเนียล อดีตหัวหน้าผู้ฝึกสอนทีมมวยสากลสมัครเล่นทีมชาติไทย ที่เคยสร้างผลงานพานักชกไทยประสบความสำเร็จยิ่งใหญ่ ด้วยคว้าเหรียญทองกีฬาโอลิมปิกเกมส์มาแล้ว 4 สมัย จาก สมรักษ์ คำสิงห์ ปี 1996, วิจารณ์ พลฤทธิ์ ปี 2000, มนัส บุญจำนงค์ ปี 2004 และสมจิตร จงจอหอ ปี 2008 ก่อนที่เจ้าตัวจะลาออกกลางคันไปอย่างน่าสงสัยในช่วงโควิด-19 ทั้งที่มีภาระกิจ และสัญญาอยู่กับสมาคมกีฬามวยสากลแห่งประเทศไทยฯ ให้ครบจนจบ “โตเกียวเกมส์” ปี 2021 ขณะเดียวกันก็ไม่มีผู้บริหารสมาคมกีฬามวยสากลฯ ท่านใดออกมาพูดถึงเรื่องการลาออกของ ฮวน ในครั้งนี้แต่อย่างใด จนสื่อมวลชนสงสัยว่า เกิดอะไรขึ้นกับยอดโค้ชชาวคิวบารายนี้

ล่าสุด ฮวน ฟอนตาเนียล ที่เดินทางไปสอนมวยอยู่ประเทศเม็กซิโกได้ให้สัมภาษณ์ทางไกลถึงสาเหตุการลาออกว่า ก่อนหน้านี้ช่วงปลายปี 2560 ตัวเองได้รับการทาบทามจากผู้ใหญ่สมาคมกีฬามวยสากลฯ ให้กลับมาคุมทีมนักชกไทยอีกครั้ง ซึ่งในห่วงเวลานั้นหมดสัญญากับสมาคมมวยสากลเม็กซิโก พอดี จึงตัดสินใจเดินทางมา เพราะตัวเองมีความผูกพันธ์กับนักชกไทย และคนไทยเป็นทุนเดิมอยู่แล้วกว่า 10 ปีตั้งแต่ปี 2536

ฮวนกล่าวว่า งานหลักสำคัญที่จะต้องทำในช่วงแรกคือ การพัฒนาทีมกำปั้นหญิง และดูแลชุดเยาวชนทั้งหมด เพื่อต้องการสร้างนักชกสายเลือดใหม่ขึ้นมาทดแทนรุ่นพี่ในอนาคต แน่นอนว่า การทำงานทุกอย่างจะต้องมีปัญหาอุปสรรคต่างๆ เข้ามามากมาย เนื่องจากทีมมวยสากลของไทยยุคนี้ไม่เหมือนสมัยก่อน ไม่มีนักชกฝีมือดี และชั้นเชิงมวยอัจฉริยะเหมือนกับสมัยของ สมรักษ์ คำสิงห์, มนัส บุญจำนงค์ และสมจิตร จงจอหอ ทุกอย่างจึงต้องวางระบบแบบแผนการฝึกซ้อมกันใหม่ทั้งหมด ไล่ตั้งแต่ พละกำลัง, เทคนิค, จิตวิทยา, โภชนาการ, การเดินทางไปแข่งขัน ฯลฯ เพราะทุกอย่างมันคือ องค์ประกอบที่สำคัญไปสู่ความสำเร็จ จะขาดอย่างใดอย่างหนึ่งไม่ได้

“ที่ผ่านมาตัวเองทุ่มเท และตั้งใจทำงานมาตลอด ไม่ได้ดูแลแค่เฉพาะทีมมวยหญิงกับชุดเยาวชนเท่านั้น แต่ทีมกำปั้นชายที่จะไปล่าตั๋วโตเกียวเกมส์ก็ดูแลด้วย เพราะเวลานี้เรายังตามหลังชาติมหาอำนาจต่างๆ อยู่มาก ดังนั้นเมื่อผู้บริหารสมาคมให้ตัวเองดูแลรับผิดชอบแล้ว จึงต้องให้ความไว้วางใจ อย่าพยายามเข้ามาแทรกแทรง หรือ ก้าวก่ายในส่วนการทำงานของตัวเอง เนื่องจากประสบการณ์และการเห็นนักมวยทั่วโลกตัวเองรู้ดีกว่าใคร สมควรต้องให้สิทธิ์หน้าที่และอำนาจการตัดสินใจเต็มที่

 

เพื่อสรรหานักชกที่พร้อมและดีที่สุดไปทำหน้าที่ให้กับประเทศชาติ เพราะตัวเองอยู่หน้างานจะรู้ดีว่า นักชกแต่ละคนเป็นอย่างไร คนไหนมีความเก่งกาจและข้อบกพร่องตรงจุดไหนบ้าง รวมไปถึงเรื่องระเบียบวินัยและความรับผิดชอบในการอยู่ร่วมกัน ซึ่งทุกอย่างมันน่าจะดูดี หากทำได้ตามข้อตกลงกันไว้ แต่มันกลับตรงกันข้ามเนื่องจากมีผู้บริหารสมาคมฯ (บางคน) เข้ามาวุ่นวายจนตัวเองทำงานไม่มีความสุข จึงเป็นเหตุให้ตัดสินใจเดินทางกลับเม็กซิโกทันที”

 

เฮดโค้ชมวยชาวคิวบาสัญชาติเม็กซิกันกล่าวอีกว่า ทั้งที่จริงส่วนตัวทำงานร่วมกับ “บิ๊กชาย” นายสมชาย พูลสวัสดิ์ ประธานฝ่ายพัฒนาเทคนิคสมาคมฯ ได้เป็นอย่างดี เพราะท่านมีความรู้และความเข้าใจกีฬาชนิดนี้อย่างถ่องแท้ แถมยังเคยเป็นอดีตนักมวยมาก่อน จึงเข้าใจถึงวิถีชีวิตและความเป็นอยู่ของนักกีฬาว่า ต้องการอะไรบ้าง อะไรที่เป็นแรงบันดาลใจ ที่จะทำให้นักกีฬาไปสู่ความสำเร็จเป้าหมาย นายสมชาย ดูแลทำให้หมด แต่ผู้บริหารสมาคมฯอีกส่วนไม่ได้เป็นเช่นนั้น

 

ไม่เข้าใจกีฬามวยสากลที่มันลึกซิ้ง แต่พยายามทำให้ตัวเองมีอำนาจในการตัดสินใจ ผลสุดท้ายความล้มเหลวก็จะเกิดขึ้นกับส่วนรวม ซึ่งตัวเองไม่สามารถยอมรับได้ อย่างไรก็ตาม ก่อนที่จะถึงจุดแตกหักตรงนี้นั้น ก็เคยมีการพูดคุยเรื่องปัญหาต่างๆ กันมาแล้ว แต่ก็ไม่ได้รับการแก้ไขไปในทิศทางที่ดี ทางสุดท้าย คือ การปลีกตัวออกมาจากตรงจุดนั้น แล้วปล่อยให้คนที่พร้อม หรือ เหมาะสมกว่าเข้ามาทำหน้าที่แทน แม้ว่า ภายใต้จิตใจลึกๆ ของตัวเองนั้น จะรู้สึกเจ็บปวดและสงสารนักกีฬาก็ตามที แต่เมื่อเราตัดสินใจออกมาแล้วหวังว่า ทุกอย่างมันน่าจะดีขึ้น

 

“ผมทำงานด้วยความทุ่มเทตั้งใจ เห็นได้จากผลงานความสำเร็จที่ผ่านมา เพื่อให้ทุกอย่างมันคุ้มกับค่าเหนื่อยที่ได้รับเดือนละ 7,000 เหรียญสหรัฐฯ หรือประมาณ 210,000 บาท โดยเฉพาะการพาทีมกำปั้นไทยไปสู่ความสำเร็จในเวทีโลก ทั้งโอลิมปิกเกมส์, ชิงแชมป์โลก และเอเชี่ยนเกมส์ เพราะที่นี่คือ บ้านหลังที่สองของผม จึงมีความรัก และผูกพันธ์เหมือนพ่อดูแลลูกๆ แต่เมื่อทางตัวนายกสมาคม กับเลขาธิการสมาคม ไม่ให้ความไว้วางใจเข้ามาแทรกแซงการทำงานตลอด ทั้ง โปรแกรมการฝึกซ้อม, การคัดเลือกนักกีฬา และการบริหารต่างๆ ที่สมควรจะเป็น มันจึงทำให้อยู่แล้วไม่มีความสุข”

“ในมุมกลับกันถ้าให้ผมทำงานเต็มที่แล้วผลงานออกมาไม่เป็นไปตามเป้าหมาย จะตำหนิหรือไม่ทำตามก็มาว่ากันไป แต่นี่ทั้งสองคนเขาไม่รับฟังผมเลย แม้ว่าจะพยายามอธิบายถึงเหตุผลไปแล้ว จึงตัดสินใจลาออกมาดีกว่า เพราะหากฝืนอยู่ต่อไปทุกอย่างยิ่งจะเลวร้ายลงกว่าเดิม ส่วนตัวมองว่า นักมวยหญิงไทยมีโอกาสหยิบเหรียญในโอลิมปิกได้ แต่จะเป็นสีอะไรนั้นไม่สามารถบอกได้ ขณะที่ทีมมวยชายนั้่นคงเป็นไปยาก เอาแค่การคว้าโควต้าโตเกียวเกมส์ให้ได้ตามเป้าหมายยังลำบากเลย เพราะทุกอย่างมันดูตกต่ำและขาดการพัฒนาที่ดีอย่างเป็นระบบมาช้านานแล้ว อีกทั้งตัวเองคงจะไม่กลับไปทำงานให้อีกต่อไปแล้ว” โค้ชฮวน กล่าวทิ้่งท้าย

@ News  Photo Credit : Sodsroi Sawsangvean/

 matichon sport

เชิญแสดงความคิดเห็นอย่างสุภาพ

comments