<<>> ว่าที่ผู้ท้าชิงคนต่อไปของวันเฮงนั้นมีชื่อเต็มๆว่า โอมาริ อิดด์ คิมเวรี่ มีฉายาในการชกมวยว่า “ไลอ้อน บอย” โดยคิมเวรี่นั้นลืมตาออกมาดูโลกเมื่อวันพุธที่ 22 กันยายน 1982 ที่เมือง ดาร์ เอส ซาลาม อดีตเมืองหลวงเก่าของประเทศแทนซาเนีย ทวีปแอฟริกา ดังนั้นปัจจุบันเขาจึงมีอายุได้ 34 ปีเศษแล้ว

 

17951496_588152621378833_7800147513922146665_n

Photo Credit: lukemusicfactory.blogspot.com

 

            คิมเวรี่นั้นเกิดในครอบครัวที่มีลูกชายเป็นนักมวยถึง 3 คน ดังนั้นเขาจึงเริ่มต้นเข้าค่ายซ้อมมวยมาตั้งแต่อายุ 12 ปี อย่างไรก็ตามกว่าที่เขาจะได้ขึ้นชกบนเวทีสมัครเล่นจริงๆก็เมื่ออายุได้ 17 ปีแล้ว และจากการที่เขาประสบความสำเร็จในการชกมวยสากลสมัครเล่นเป็นอย่างมาก และทำชื่อเสียงให้กับบ้านเกิดมาหลายปีนั้น คิมเวรี่ก็ได้รับการบรรจุเข้าทำงานเป็นข้าราชการสังกัดเรือนจำแห่งหนึ่งของประเทศแทนซาเนีย แต่ใจจริงของเขานั้นต้องการที่จะขึ้นชกมวยเป็นอาชีพมากกว่า แต่ถ้าเขาขึ้นชกอาชีพในแทนซาเนียบ้านเกิด เขาก็จะไม่สามารถที่จะรับราชการควบคู่กันไปได้

 

 

          เมื่อเขาได้โอกาสติดทีมชาติแทนซาเนีย และได้เข้าร่วมแข่งขันกีฬามวยสากลสมัครเล่นในมหกรรมกีฬาคอมมอนเวลธ์เกมส์ 2006 ที่เมืองเพิร์ธ ประเทศออสเตรเลีย เมื่อเขาได้เดินทางมาที่ประเทศแห่งนี้ ที่มีความเจริญมากกว่าบ้านเกิดของเขามากนัก รวมทั้งเมื่อได้พบปะกับผู้คนท้องถิ่นหลายต่อหลายคนที่ดูเป็นมิตรมากกว่าที่เขาคิด เขาก็เลยตัดสินใจที่จะโดดร่มอยู่ที่นี่เลย โดยหวังว่าจะมีอนาคตในการชกมวยที่ดีกว่า ดังนั้นวันหนึ่งเขาจึงทำทีเดินทางออกจากที่พักไปยังสนามมวย และนั่งดูมวยสากลสมัครเล่นชกกันไป 2-3 คู่ จากนั้นจึงแอบออกมาขึ้นรถรางเพื่อที่จะเดินทางไปยังเมืองฟุตสเครย์

 

 

 

           และเขาก็ได้พบกับเพื่อนใหม่คนหนึ่งที่นั่น ซึ่งชายคนนั้นก็ได้พาเขาไปพักอยู่ด้วยกันที่จาคานา และหลังจากนั้นเรื่องของการหลบหนีเข้าเมืองของนักกีฬาจากประเทศแทนซาเนียอย่างเขาและคารินกัปตันทีม ที่เป็นนักมวยแทนซาเนียอีกคนหนึ่งที่หลบหนีออกที่พักเช่นกัน ก็ได้กลายเป็นข่าวดังไปทั่วประเทศออสเตรเลียและทั่วโลก ทั้งทางหน้าหนังสือพิมพ์และจอโทรทัศน์

 

 

             การหลบนี้เข้าเมืองของคิมเวรี่นั้นไม่ได้ง่ายอย่างที่คิด เพราะเขานั้นต้องหลบๆซ่อนๆอยู่ตลอด และต้องไปเป็นคนงานอยู่ในไร่ยาสูบที่เมืองเมอร์เทิลฟอร์ดอยู่นานถึง 9 เดือนอีกด้วย (ซึ่งคารินก็ได้หลบหนีมาทำงานอยู่ที่นี่ด้วยเช่นกัน) จนกระทั่งทางรัฐบาลได้ประกาศว่าจะไม่ให้มีการทำไร่ยาสูบอีกต่อไปในอีกหนึ่งปีข้างหน้า เขาจึงต้องกลายเป็นคนตกงานในที่สุด แต่เขาก็ยังโชคดีที่ได้รู้จักกับเพื่อนใหม่อย่าง ไซมอน ดาเลย์ และไซมอนก็ได้พาเขากับคารินหลบหนีไปที่วังการัตตา ที่ที่ไซมอนนั้นอาศัยอยู่กับคุณพ่อที่คอนโดฯแห่งหนึ่ง ซึ่งห้องชุดของไซมอนกับพ่อนั้นเป็นห้องที่ไม่ใหญ่มากนัก และมีพื้นที่พอแค่จะวางเตียงนอนเพียงแค่ 2 เตียงเท่านั้น ดังนั้นทางคิมเวรี่และคารินจึงต้องอาศัยพื้นห้องเป็นที่หลับนอนนั่นเอง

 

18010718_588161194711309_5908698386579487356_n

 

Photo Credit : www.wbcboxing.com

 

             สำหรับคุณพ่อของไซมอนนั้นเป็นอดีตนักมวยเก่า และก็ยังมีกิจการเป็นยิมมวยเล็กๆแห่งหนึ่งเป็นของตนเองอีกด้วย ดังนั้นทั้งคิมเวรี่และคารินจึงได้กลับมาเริ่มซ้อมมวยอีกครั้งที่นี่ อีกทั้งยังทำงานที่ยิมแห่งนี้ไปด้วย ซึ่งค่าแรง 1 สัปดาห์ในแต่ละเดือนของพวกเขานั้น ก็จะถูกหักเป็นค่าใช้จ่ายในการบำรุงดูแล โดยทางคารินและคิมเวรี่นั้นก็แสดงให้ทุกคนได้เห็นถึงความตั้งใจจริงและความมีระเบียบวินัยในการฝึกซ้อมอย่างขยันขันแข็ง ตลอดทั้ง 6 เดือนที่พวกเขามาอาศัยอยู่กับครอบครัวดาเลย์ที่วังการัตตา แม้ว่าการกินอยู่ในระยะแรกๆของทั้งคู่นั้นจะดูขัดๆเขินๆไปบ้าง เพราะไม่เคยใช้มีดกับส้อมในการรับประทานอาหารมาก่อน อีกทั้งยังขี่จักรยานและว่ายน้ำไม่เป็นอีกด้วย แต่ทั้งคู่ก็พยายามที่จะเรียนรู้ในสิ่งใหม่ๆอยู่ตลอดเวลา

 

 

           อีกทั้งทางไซมอนก็พยายามที่จะพาพวกเขาไปเข้าสังคมอยู่เรื่อยๆ ในที่สุดทั้งคู่ก็สามารถที่จะปรับตัวได้โดยไม่ยากเย็นสักเท่าไหร่นัก อย่างไรก็ดีผู้ลี้ภัยก็ยังคงเป็นผู้ลี้ภัยอยู่วันยังค่ำ ในที่สุดคิมเวรี่ก็ไม่สามารถที่จะอยู่อย่างหลบๆซ่อนๆได้อีกต่อไป และเขาก็ต้องไปรายงานตัวยังศูนย์อพยพของทางราชการในเวลาต่อมา แต่เขาก็โชคดีที่ยังคงสามารถที่จะอาศัยอยู่ต่อไปในประเทศออสเตรเลียได้ ทำให้เขาสามารถที่จะซ้อมมวยได้ต่อไป แต้ปัญหาเรื่องของการขอวีซ่าผู้อพยพนั้น ยังคงเป็นสิ่งที่กวนใจเขาเรื่อยมา เพราะนอกจากจะถูกตั้งคำถามอย่างมากมายจากทางสำนักงานตรวจคนเข้าเมืองแล้วนั้น เขายังถูกปฏิเสธในเรื่องนี้มาโดยตลอด แม้กระทั่งเขาได้ยื่นคำร้องต่อศาลรัฐบาลกลางและศาลสูง ก็ดูเหมือนว่าจะไม่เป็นผลแต่อย่างใด

 

 

 

          คิมเวรี่นั้นได้ซ้อมมวยและอาศัยอยู่ที่เมืองแอดิเลดอยู่ 2-3 ปี และก็ได้ขึ้นชกมวยอาชีพหนแรกที่นั่น และก็สามารถที่จะเอาชนะคะแนนมวยใหม่ด้วยกันในกำหนด 4 ยก เมื่อวันที่ 20 กรกฎาคม 2007 แต่เป็นการชกที่เขานั้นต้องพยายามที่จะต้องทำทุกอย่าง เพื่อให้มีน้ำหนักตัวเพิ่มขึ้นไปให้ไล่เลี่ยกับคู่ชกของเขาที่หนักถึว 122.5 ปอนด์ อย่างไรก็ดีคิมเวรี่นั่นก็ทำน้ำหนักขึ้นไปมากที่สุดได้แค่ 119.75 ปอนดฺ์เท่านั้น ซึ่งเป็นน้ำหนักตัวที่มากเกินไปสำหรับเขา ที่มีความสูงเพียงแค่ 150 เซนติเมตรเท่านั้น

 

 

          และจากการที่จะต้องเพิ่มน้ำหนักมากจนเกินไปนี่เอง (118.25 ปอนด์) การชกอาชีพในไฟต์ที่ 2 ของเขาจึงจบไม่สวย เพราะเขาถูกคู่ชก (121.5 ปอนด์) ถลุงจนหมดทางสู้ไปแค่เพียงยกแรกเท่านั้น ทำให้หลังจากนั้นเขาจึงตัดสินใจที่จะย้ายมาอยู่เมลเบิร์นและลดน้ำหนักลงมาชกในพิกัดราวๆรุ่นฟลายเวต (112.25 ปอนด์) และก็สามารถที่จะเอาชนะคูู่ชกไปได้ในยกที่ 6 จากกำหนด 6 ยก กู้ชื่อคืนได้สำเร็จ

 

17952814_588153131378782_8428100185391519148_n

Photo Credit: www.amazonaws.com

 

        คิมเวรี่นั้นได้มาซ้อมมวยอยู่ที่ เดอะ ไฟเตอร์’ส แฟ็คทอรี่ ยิม ในแบล็กเบิร์น ซึ่งทางเจ้าของยิมก็ใจดีให้เขานั้นอาศัยอยู่ในบ้านด้วยกันประมาณ 1 ปี ก่อนที่เขาจะพบรักกับสาวชาวออสเตรเลียที่มีภูมิลำเนาอยู่กันคนละเมือง ทำให้เขาต้องตัดสินใจย้ายที่ฝึกซ้อมไปยัง ทานีธ บ็อกซิ่ง ยิม เพื่อให้แฟนสาวของเขานั้นสามารถที่จะเดินทางไปมาหาสู่ได้สะดวกมากขึ้น แล้วปัญหาในเรื่องของการขอวีซ่าผู้อพยพของเขาก็จบลง เมื่อทั้งคู่ได้สมรสกันอย่างถูกต้องตามกฏหมาย ทำให้ปัจจุบันคิมเวรี่นั้นได้รับสัญชาติออสเตรเลียเป็นที่เรียบร้อยแล้ว

 

 

          และที่ ทานีธ บ็อกซิ่ง ยิม แห่งนี่ คิมเวรี่ก็ได้เรียนรู้สิ่งใหม่ๆมากมาย โดยเฉพาะเทคนิคในการชกในสไตล์มวยอาชีพ ที่เน้นการชกแบบดุดันมากกว่าการเก็บคะแนนในแบบมวยสมัครเล่นในแบบเดิมๆที่เขาเคยชิน และที่นี่เขาก็มีคู่ซ้อมชั้นดีมากมาย อาทิเช่น ฮีธ เอลลิส และ ดาเนียล เอียนนาซโซ่ เป็นต้น และที่นี่เองทำให้เขานั้นมีหมัดแย๊บที่มีประสิทธิภาพ และการตัดลำตัวที่ดุดัน รวมทั้งการป้องกันตัวที่รัดกุมอีกด้วย

 

 

           ย้อนกลับมาดูสถิติการชกมวยของคิมเวรี่อีกครั้ง หลังจากที่เขาลดรุ่นลงมาชกในพิกัดฟลายเวตแล้ว เพียงแค่ไฟต์ที่ 2 เท่านั้น เขาก็ได้รับการสนับสนุนให้ขึ้นชิงแชมป์ IBF Pan Pacific ที่ว่างในพิกัด 112 ปอนด์ กับ แองกี้ แองก็อตต้า อดีตแชมป์ IBF Pan Pacific รุ่นจูเนียร์ฟลายเวต และแชมป์อินโดนีเซียรุ่นฟลายเวต ซึ่งเป็นการพาสชั้นที่เร็วเกินไปสักหน่อย ทำให้เขาต้องตกเป็นฝ่ายพ่ายคะแนนต่อแองก็อตต้าไปแบบหวุดหวิดสูสี ชวดเข็มขัดแชมป์เส้นแรกไปอย่างน่าเสียดาย ซึ่งต่อแองก็อตต้ารายนี้ก็ได้โอกาสขึ้นชิงแชมป์โลก WBO ในพิกัด 115 และ 118 ปอนด์ในเวลาต่อมา เพียงแต่ว่าไม่ประสบความสำเร็จเท่านั้น

 

 

          คิมเวรี่กลับมาคว้าชัยได้ 3 ไฟต์รวด โดย 2 ใน 3 นั้นเป็นการชนะคู่ชกจากเมืองไทย คือ ไชยา ศิษย์ครูพล (ชนะ KO2) และ ธนูเพชร สิงห์มนัสศักดิ์ (ชนะคะแนน 6 ยก) จากนั้นจึงได้รับการสนับสนุนให้ขึ้นชิงแชมป์ฟลายเวตของออสเตรเลียที่ว่างกับ แม็ตต์ เมริดิธ นักชกเชื้อสายอังกฤษ ที่ฝีมือไม่เท่าไหร่ ดังนั้นจึงไม่แปลกที่คิมเวรี่จะสามารถสำเร็จโทษเมริดิธลงได้เพียงแค่ยกแรก คว้าแชมป์ฟลายเวตของออสเตรเลียไปคาดเอวได้เป็นเส้นแรกในชีวิตของการชกมวยอาชีพ อย่างไรก็ดีการคว้าแชมป์เส้นนี้เหมือนกับเป็นทุกขลาภของผู้สนับสนุนของเขาก็ว่าได้

 

 

        เพราะในอับดับรุ่นนี้นั้นมีรองแชมป์อยู่เพียงแค่ 2 รายเท่านั้น เพราะพิกัด 112 ปอนด์นั้นถือได้ว่าเป็นพิกัดที่เบาที่สุดแล้วของประเทศ (ปัจจุบันออสเตรเลียไม่มีการชิงแชมป์ของประเทศในพิกัด 105 และ 108 ปอนด์มานานกว่า 20 ปีแล้ว) ดังนั้นผู้สนับสนุของเขาจึงต้องมองหาคู่ชกจากต่างแดนมาให้เขาเท่านั้น และเพื่อให้เหมาะกับรูปร่างของเขา ทุกฝ่ายจึงเห็นควรให้เขานั้นลดรุ่นลงมาชกในพิกัดไลต์ฟลายเวตจะดีกว่า

 

18010969_588160384711390_4651557135509886397_n

Photo Credit : www.themeparkatitsdarkest.files.wordpress.com

 

          เมื่อคิมเวรี่สามารถที่จะอุ่นเครื่องคว้าชัยชนะได้อีก 2 ไฟต์ ผู้สนับสนุนของเขาจึงผลักดันให้เขาได้ขึ้นชิงแชมป์ WBO Oriental รุ่น 108 ปอนด์ที่ว่างทันที และคิมเวรีก็สามารถที่จะเก็บ พันธ์มงคล อ.เอกรินทร์ คู่ชกจากแดนสยามลงได้เพียงแค่ยกที่ 2 เท่านั้น พร้อมกับคว้าเข็มขัดแชมป์ไปคาดเอวได้อีกเส้นหนึ่ง จากนั้นก็ขึ้นชกชนะรวดอีก 3 ไฟต์ และ 2 ใน 3 ก็เป็นคู่ชกจากเมืองไทย คือ ลูกรัก เกียรติมั่งมี (ชนะคะแนน 8 ยก) และ ยอดพิชัย ศิษย์ทรายทอง (ชนะคะแนน 6 ยก) ก่อนที่จะถูกส่งให้ไปชิงแชมป์ไลต์ฟลายเวตของ OPBF ที่ว่าง กับ ชิน โอโนะ ที่แดนอาทิตย์อุทัย แต่ก็ต้องตกเป็นฝ่ายพ่ายคะแนนไปอย่างไม่เป็นเอกฉันท์ ทำให้ต้องกลับบ้านมือเปล่าในที่สุด และ ชิน โอโนะ ก็ได้ขึ้นชิงแชมป์โลกรุ่น 105 ปอนด์ 2 ครั้ง แต่ก็ไม่สำเร็จทั้งเส้นของ IBF และ WBA

 

 

          คิมเวรี่กลับมาชนะ TKO มวยหมูไปในยกแรกแค่ไฟต์เดียวเท่านั้น จากนั้นเขาก็ว่างเว้นจากการขึ้นเวทีไปนานร่วม 2 ปี ก่อนจะกลับมาเอาชนะน็อค มรกต พัฒนาการยิม นักชาวไทยไปแค่ยกที่ 2 เท่านั้น จากนั้นก็ได้รับการสนับสนุนให้ขึ้นชิงแชมป์ WBA Pan African รุ่น 108 ปอนด์ที่ว่าง กับ ไมเคิล คามิเลียน นักชกจากประเทศฟิลิปปินส์ และคิมเวรี่ก็สามารถที่จะเอาชนะคะแนนไปได้ในกำหนด 10 ยก คว้าแชมป์เส้นใหม่มาครองได้สำเร็จ

 

 

          และไม่นานหลังจากนั้น คิมเวรี่ก็ได้รับการสนับสนุนให้ข้ามรุ่นกลับขึ้นไปชิงแชมป์ WBC Silver รุ่นฟลายเวตที่ว่าง กับอดีตแชมป์เฉพาะกาลรุ่นเดียวกันชาวฟิลิปปินส์ แรนดี้ เปตาลโคริน ที่พึ่งจะสละตำแหน่งมาหมาดๆ โดยทางผู้สนับสนุนนั้นตั้งเป้าว่า ต้องการให้คิมเวรี่นั้นพาสชั้นขึ้นอันดับ 1 ในรุ่น 112 ปอนด์ของ WBC ได้โดยเร็วที่สุด แต่แล้วการชกกับเปตาลโครินนั้นกลับไม่ง่ายเลย เพราะนักชกฟิลิปปินส์รายนี้นั้นเป็นมวยซ้ายที่ชกด้วยยากมาก เรียกได้ว่าน้ำลายเหนียวคอกันเลยทีเดียวสำหรับไฟต์นี้ และท้ายที่สุดแม้ว่าทางคิมเวรี่จะได้รับการชูมือให้ชนะคะแนนไป 2-1 เสียงแบบคู่ค่สูสี แต่ฟอร์มการชกไฟต์นี้ของเขานั้นดูว่าจะไม่ดีเอาเสียเลย

 

 

         หลายต่อหลายคนมองว่านักชกฟิลิปปินส์นั้นสมควรที่จะเป็นผู้ชนะเสียด้วยซ้ำไป ซึ่งหลายฝ่ายลงความเห็นว่าเป็นเพราะเปตาลโกรินนั้นเป็นมวยซ้ายที่ชกด้วยยาก อีกทั้งคิมเวรี่นั้นยังคงเสียเปรียบรูปร่างและแรงปะทะสำหรับการชกในพิกัดรุ่นฟลายเวตนี้ โดยเขานั้นชั่งน้ำหนักก่อนการชกไฟต์นี้ได้เพียง 104.25 ปอนด์เท่านั้น และหลังจากวันที่ 15 เมษายนปีที่แล้ว คิมเวรี่นั้นยังไม่ได้กลับขึ้นชกมวยกับใครอีกเลย แต่น่าแปลกว่าปัจจุบันเขานั้นกลับมามีชื่อเป็นรองแชมป์โลกในรุ่น 105 ปอนด์ของทั้ง WBA และ WBC โดย WBA นั้นอยู่ในอันดับที่ 14 ส่วนของ WBC นั้นอยู่สูงถึงอันดับ 4 เลยทีเดียว

 

17990712_588160911378004_648923185957663966_n

 

Photo Credit : www.wbcboxing.com

 

 

       ปัจจุบันคิมเวรี่นั้นมีงานประจำเป็นพนักงานขับรถยกของฮิคคอรี่ ซึ่งเป็นบริษัทวัสดุก่อสร้างชื่อดัง ซึ่งจากการร้างสังเวียนไปนานร่วมปีนั้น หลายคนอาจจะคิดกันว่าเขาจะกลับคืนสังเวียนอีกหรือไม่ ในเมื่อปีนี้ก็อายุเข้าเลข 34 ปีแล้ว แต่หากจะสังเกตุว่าแม้ว่าไฟต์สุดท้ายของเขานั้นจะกลับขึ้นไปชกในพิกัด 112 ปอนด์อีกครั้งแล้วก็ตาม แต่เขากลับชั่งได้เพียงแค่ 104.25 ปอนด์เท่านั้น ดังนั้นจึงไม่น่าแปลกใจว่าชื่อของเขาจะเข้ามาอยู่เป็นรองแชมป์โลกรุ่น 105 ปอนด์ในปัจจุบันนี้ และเป็น 2 สถาบันที่แชมป์โลกเป็นนักชกในสังกัดเพชรยินดีฯทั้งคู่เสียด้วย แถมยังติดอันดับสูงลิ่วถึงเบอร์ 4 ของ WBC อีกด้วย

 

 

       ถ้าดูข้อมูลข้างต้นแล้ว คิดว่าโอกาสที่คิมเวรี่จะเดินทางมาชิงแชมป์โลกกับวันเฮงที่เมืองไทยจะมีมากน้อยแค่ไหน? 80% อาจจะน้อยไปเสียด้วยซ้ำ?

 

#ขออภัย โฆษณามารบกวน แต่ถ้าไม่มีเขาวันนี้ พรุ่งนี้ก็อาจจะไม่มีไทยเรค ดูนิดนะคับ

15193431_527181207475975_1294240774148623623_nnew-logox2-e1416876872708

@ credit news –image :: Boxing-Boy’s

 

เชิญแสดงความคิดเห็นอย่างสุภาพ

comments