<<>> by  siamsport, Sat, 04 Jun 2016
ตำนานลาโลก! "มูฮัมหมัด อาลี" เสียชีวิตแล้วด้วยวัย 74 ปี

สำนักข่าว “เอ็นบีซี นิวส์” อ้าง โฆษกประจำครอบครัวระบุว่า มูฮัมหมัด อาลี ตำนานนักชกแชมป์โลกรุ่นเฮฟวี่เวต เสียชีวิตแล้วในวัย 74 ปี เมื่อวันศุกร์ที่ 3 มิถุนายน ที่ผ่านมา (ตามเวลาท้องถิ่น) หลังถูกพามารักษาตัวที่โรงพยาบาลในเมืองฟีนิกซ์ เนื่องจากมีปัญหาด้านการหายใจเมื่อไม่กี่วันที่ผ่านมา

 

        “หลังจาก 32 ปีแห่งการต่อสู้กับโรคพาร์กินสัน มูฮัมหมัด อาลี ในวัย 74 ปี แชมป์โลกเฮฟวี่เวต 3 สมัย เสียชีวิตแล้วในคืนนี้” บ๊อบ กันเนลล์ โฆษกของครอบครัว กล่าวกับ “เอ็นบีซี นิวส์”

 

        มูฮัมหมัด อาลี เกิดในชื่อ “แคสเซียส เคลย์” วันที่ 17 มกราคม 1942 ที่ หลุยส์วิลล์, เคนทักกี้ ในครอบครัวชนชั้นกลาง เริ่มหัดชกมวยตอนอายุ 12 ปี คว้าแชมป์ “โกลเด้น โกลฟ” ก่อนจะไปแข่งคว้าเหรียญทองรุ่นไลท์ เฮฟวี่เวท กีฬาโอลิมปิก 1960 ที่ โรม, อิตาลี

 

        ไม่นานจากนั้น อาลี หันมาชกอาชีพด้วยการสนับสนุนจากนักธุรกิจหลุยส์วิลล์ ก่อนจะโยกไปอยู่ ไมอามี่ และซ้อมกับตำนานเทรนเนอร์ อันเจโล่ ดันดี โดยขณะที่ชื่อเสียงเริ่มโด่งดัง อาลี ต่อต้านการเหยียดผิวในอเมริกาอย่างรุนแรง และหลังจากเขาถูกปฏิเสธให้ใช้บริการตู้กดน้ำอัดลม อาลีบอกว่าเขาขว้างเหรียญทองโอลิมปิก ทิ้งลงแม่น้ำ

 

        จากความเครียดในอาชีพทั้งเอเยนต์ และโปรโมเตอร์ อาลี หันมาเข้าหาศาสนาอิสลามจากกลุ่ม “เนชั่น ออฟ อิสลาม” และด้วยแรงบันดาลใจจาก มัลคอล์ม เอ็กซ์ หนึ่งในผู้นำกลุ่ม ทำให้เขาหันมานับถือศาสนาอิสลาม แต่ไม่บอกให้สาธารณะชนรับรู้ ในปี 1963

 

13934037483849-948x632

      

           ในปีต่อมา เคลย์ หรือ อาลี มีโอกาสท้าชิงแชมป์โลกกับ ซอนนี่ ลิสตัน ที่นำมาซึ่งหนึ่งในวลีเด็ดจากปากของ อาลี ที่ว่า “โบยบินเหมือนผีเสื้อ ต่อยเจ็บเหมือนผึ้ง” ส่วนผลการชกนั้น อาลี ชนะทีเคโอในยกหก (ลิสตัน ไม่ออกจากมุมในยก 7) และ อาลี ประกาศบนเวทีว่า “ชั้นยิ่งใหญ่ที่สุด ชั้นยิ่งใหญ่ที่สุด ชั้นคือผู้ครองโลก”

 

        ไม่นานจากนั้น เคลย์ ประกาศเปลี่ยนชื่อจาก “แคสเซียส เคลย์” เป็น “มูฮัมหมัด อาลี” โดย เอไลจาห์ มูฮัมหมัด ผู้นำกลุ่ม เนชั่น ออฟ อิสลาม ตอนนั้น อาลี อายุ 22 ปี และการเปลี่ยนศาสนาทำให้เกิดกระแสแบ่งแยกต่างๆ นานาที่มีต่อตัวเขา

 

        อาลี ประสบความสำเร็จในการป้องกันแชมป์ 6 ครั้ง ซึ่งรวมถึงไฟต์แก้มือของ ลิสตัน จากนั้นปี 1967 ซึ่งเป็นช่วงพีคของสงครามเวียดนาม เขาถูกเกณฑ์เข้ากองทัพ แต่ อาลี ปฏิเสธ เพราะไม่ใช่สิ่งที่ศาสนาของเขาสั่งสอน และเขาไม่ได้มีเรื่องบาดหมางกับศัตรูของอเมริกา ซึ่งก็คือทหารเวียดกง โดยท่าทีแข็งขืนของเขาถึงจุดสูงสุดตอนอยู่ที่หน่วยรับสมัครทหาร ซึ่งเขาไม่ยอมก้าวออกมาตอนถูกเรียกชื่อ

 

        อาลี ถูกริบแชมป์ และถูกสั่งขัง 5 ปี เขาอุทธรณ์ออกมาได้ แต่ไม่ได้รับอนุญาตให้ขึ้นชก หรือเดินทางไปต่างประเทศ ทำให้ อาลี หันไปเดินสายเลคเชอร์ตามคอลเลจ ซึ่งก็นำมาซึ่งการโต้เถียงจากความขัดแย้งทางความคิด ทั้งเรื่องการเหยียดผิว และการทำสงคราม

 

        การอุทธรณ์ของ อาลี กินเวลา 4 ปี จนเดือนมิถุนายน 1971 ศาลกลับคำตัดสิน และกระทรวงยุติธรรมแจ้งกับกองทัพว่า อาลี ไม่ได้ทำไปเพราะแรงกระตุ้นจากความเชื่อทางศาสนา และในช่วงนี้เอง รัฐจอร์เจีย ออกใบอนุญาตให้ อาลี ชกได้ และเขาเอาชนะ เจอร์รี่ ควาร์รี่ ได้สำเร็จ หลังจากนั้น 6 เดือน อาลี ขึ้นชกกับ โจ เฟรเซียร์ ที่ เมดิสัน สแควร์ การ์เด้น และแพ้ในการชก 15 ยก ในไฟท์ที่ได้รับการขนานนามว่า “ศึกแห่งศตวรรษ” และเป็นการแพ้ครั้งแรกของ  อาลี ในการชกอาชีพ

 13475996401347599690l

       

 การชกดังกล่าวกลายเป็นจุดเริ่มต้นของตำนานความเป็นศัตรูกันของ อาลี กับ เฟรเซียร์ ที่ชกแก้มือกันในปี 1974 ซึ่งตอนนั้น เฟรเซียร์ เสียเข็มขัดแชมป์โลกไปแล้ว และครั้งนี้ อาลี ชนะคะแนนอย่างเป็นเอกฉันท์ พร้อมกับขึ้นเป็นผู้ท้าชิงรุ่นเฮฟวี่เวต ซึ่งเขาสอยเข็มขัดมาได้สำเร็จจากการน็อก จอร์จ โฟร์แมน ยกที่ 8  ในปลายปีเดียวกัน บนสังเวียนที่ ซาอีร์ ในชื่อศึก “เดอะ รัมเบิ้ล อิน เดอะ จังเกิ้ล” ที่กินเวลาทั้งหมด 3 วัน รวมถึงเทศกาลดนตรีที่มีทั้ง เจมส์ บราวน์ และ บี.บี คิง มาแสดง

 

        ศึก อาลี-เฟร์เซียร์ รอบสามตามมาในปี 1975 ในชื่อ “ทริลล่า อิน มะนิลา” และเป็นศึกที่ได้รับการยกย่องว่าสุดยอดที่สุดไฟต์หนึ่งตลอดกาล ซึ่ง อาลี เอาชนะทีเคโอ ในยก 15 จากนั้น อาลี ป้องกันแชมป์ได้สำเร็จ จนถึงปี 1978 เขาแพ้หน้าใหม่ไฟแรง ลีออน สปิงค์ส ที่ชกมวยอาชีพมาแค่ 7 ไฟต์ ..แต่ อาลี ก็ไปเอามาคืนทันที ก่อนจะแขวนนวมในปี 1979 ในวัย 37 ปี แต่แค่ปีเดียวเท่านั้น เขากลับมาชกกับ แลร์รี่ โฮล์มส์ ในไฟต์ชิงแชมป์โลก และเป็นฝ่ายพ่ายแพ้ จากนั้น อาลี แพ้ เทรเวอร์ เบอร์บิค ในปี 1981 และประกาศแขวนนวมอย่างเป็นทางการ

 

        ปีถัดมา อาลี ถูกตรวจพบว่าเป็นโรคพาร์กินสัน จากนั้นเขาหันมาทุ่มเทด้านมนุษยธรรม อย่างการเดินทางไป เลบานอน ปี 1985 และ อิรัก ปี 1990 เรียกร้องให้ปล่อยตัวประกันชาวอเมริกัน จากนั้นปี 1996 เขายกแขนที่สั่นเทา จุดไฟคบเพลิงโอลิมปิก แอตแลนต้า เกมส์ และตลอดหลายปีนับจากนั้น เขาใช้เวลาเดินทางทั่วโลก ทำงานการกุศล และพบผู้นำประเทศมากมาย

 

        อาลี เคยให้สัมภาษณ์นิตสาร “พีเพิ่ล” บอกว่าสิ่งที่เขาเสียใจที่สุดคือไม่มีโอกาสเลี้ยงลูกอย่างใกล้ชิด แต่ไม่เสียใจกับการเลือกชกมวย “ถ้าหากผมไม่ชกมวย ผมก็ไม่มีชื่อเสียง แล้วถ้าผมไม่มีชื่อเสียง ผมก็คงไม่สามารถทำสิ่งที่ทำอยู่ตอนนี้ได้”

 

        ปี 2005 ประธานาธิบดี จอร์จ ดับเบิ้ลยู.บุช มอบรางวัลเชิดชูเกียรติ “เพรสซิเดนทัล มีดัล ออฟ ฟรีดอม” ให้ แก่ อาลี ขณะที่ หลุยส์วิลล์ บ้านเกิดเปิดศูนย์ “มูฮัมหมัด อาลี เซนเตอร์” เพื่อเล่าเรื่องราวชีวิตของเขา

 news_thumb_31705_630

 
        ชีวิตส่วนตัว อาลี หย่า 3 ครั้ง มีลูกรวม 9 คน หนึ่งในนั้นคือ ไลล่า อดีตแชมป์โลกมวยหญิง โดย อาลี แต่งงานครั้งสุดท้ายกับ โยลันด้า “ลอนนี่” วิลเลี่ยมส์ ปี 1986 อาศัยอยู่ที่ เบอร์เรียน สปริงส์, มิชิแกน ยาวนานหลายปี ก่อนจะย้ายไป อาริโซน่า

 

        ช่วงไม่กี่ปีมานี้ อาลี มีปัญหาสุขภาพมากขึ้น และหวุดหวิดลาโลกในปี 2013 ขณะที่เมื่อปีก่อนเขาถูกพาตัวไปโรงพยาบาล หลังจากถูกพบร่างไร้สติ แต่เขาก็หายกลับมาได้ และกลับไปอยู่ อาริโซน่า ทว่า ในช่วงท้ายๆ ชีวิตนั้น อาลี แทบพูดจาไม่ได้ และเมื่อถูกขอให้พูดถึงปรัชญาชีวิตของตัวเองปี 2009 เขาให้ภรรยาอ่านเรียงความของเขาแทน

 

        “ผมไม่เคยคิดถึงความล้มเหลว มีเพียงชื่อเสียงและความยิ่งใหญ่ที่ผมจะได้มาตอนผมชนะ ผมมองเห็นมัน ผมแทบจะรู้สึกถึงมันได้ ตอนผมประกาศว่าผมยิ่งใหญ่ที่สุดตลอดกาล ผมเชื่อมั่นใจตัวเอง และผมก็ยังเชื่อแบบนั้นอยู่”

 

@ คลิ๊กเขาไปดู 10 ท๊อปอาลีจาก FB ไมค์ ไทสัน กันนะครับ.. 10 Greatest Ali…

 

 

@ clip Credit :: LiverBird04

 

@Photo Credit : sport.sanook/www.mcot.net/www.matichon.co.th/www.sandiegored.com/www.tnamcot.com

 

 

เชิญแสดงความคิดเห็นอย่างสุภาพ

comments